การอ่านตัวเลขบนแก้มยาง

ตัวเลขและตัวอักษรต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแก้มยางรถยนต์นั้น สามารถบ่งบอกถึงคุณสมบัติของยางได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นขนาดของ ยาง เช่น หน้ากว้าง ซีรี่ส์ ขนาดขอบกระทะล้อ และยังบ่งบอกถึงขีดจำกัด ความเร็วสูงสุด, ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางเส้นนั้นๆ รวม ไปถึงคุณสมบัติอื่นๆ อีกด้วยซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวถือว่าเป็นข้อมูลทั่วๆไป ที่ท่านเจ้าของรถควรจะทราบเพื่อที่จะได้เลือกซื้อยางในครั้ง ต่อไปได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับรถยนต์ของท่าน

สำหรับตัวเลขที่อยู่บนแก้มยางของรถเก๋ง โดยทั่วไปจะมีลักษณะดังตัวอย่างต่อไปนี้

195/60R14 85H
195 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
60 คือ ซีรีส์ยาง
R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
14 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
85 คือ ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางต่อเส้น
H คือ ขีดจำกัดความเร็วสูงสุด

สำหรับความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถกระบะ มีลักษณะดังนี้

195R14C 8PR
195 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
14 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
C คือ ยางที่ใช้เพื่อการขนส่ง (มาจากคำว่า commercial)
8PR คือ อัตราชั้นผ้าใบเทียบเท่า 8 ชั้น
(ในส่วนของซีรีส์ ถ้าไม่ได้ระบุ คือ ซีรีส์ 80)

ความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีลักษณะดังนี้

31×10.5R15
31 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
10.5 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
15 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว

 

ที่มา: cockpit.co.th

kcharoengroup CARS, TRUCKS

เติมลมยางไนโตรเจน จำเป็นหรือไม่?

ประโยชน์ของการเติมไนโตรเจนในยาง

การเติมไนโตรเจนในยาง มันไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีการเติมในยางกันมานานแล้ว แต่ก่อนจะนิยมเติมกันใน อากาศยาน และ รถแข่งสูตร 1 กันมา เพราะพวกนี้ต้องใช้ความเร็วสูงมาก จึงต้องการไนโตรเจนที่รักษาแรงดันลมยางได้เสถียรที่สุด และปัจจุบันก็ได้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับ รถยนต์นั่งทั่วไป หลายคนคงตั้งคำถามใน ใจว่า มันได้ประโยชน์จริงหรือ ซึ่งก็จำแนกได้โดยหลัก ดังนี้

ไนโตรเจน มีความชื้นน้อยกว่าอากาศปกติ = ลมยางเสถียร

ความชื้น ก็คือ เมื่อเกิดการควบแน่นในปริมาณมากๆแล้ว ก็จะเกิด น้ำ ขึ้น เมื่อมีน้ำปนมากับลม พอเจอกับความร้อน จากยางเวลาหมุนไป ทำให้เกิดการเดือดขึ้น แรงดันในลมยางจะเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ทำให้ยางกระด้าง ขับแล้วไม่เกาะถนน รวมไปถึงการทำให้กระทะล้อด้านในเกิดสนิม ส่วนไนโตรเจน ก็จะมีความชื้นต่ำ ทำให้ แรงดันเกิดความเสถียร ทำให้การขับขี่นุ่มนวล มีการยึดเกาะถนนที่คงที่กว่าอย่างเห็นได้ชัด และไม่ทำให้เกิดสนิมได้ง่ายนัก

ไนโตรเจนเป็นก๊าซเฉื่อย = ไม่รั่วไหลง่าย

สืบเนื่องมาจากหัวข้อแรก ลมยางมีออกซิเจนมาก มีความชื้น มี โอกาสทำปฏิกิริยากัดกร่อนโลหะทั้งหลาย เช่น ล้อแม็ก จุ๊บลม ทำให้เกิดสนิม การกัดกร่อนอาจจะทำให้ ลมรั่ว ออกมาได้ง่าย ส่วนไนโตรเจน มันเป็น ก๊าซเฉื่อย เคลื่อนที่ได้ช้า โมเลกุลใหญ่ ทำให้การรั่วไหลของก๊าซออกจากยางมีน้อยกว่าอากาศปกติถึง 6 เท่า ทำให้ แรงดันในยางไม่หายไปง่ายนัก พูดง่าย ๆ ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ลมยางจะหายไปง่ายกว่า ทำให้ต้องเติมลมยางบ่อยกว่าใช้ไนโตรเจน ดังนั้น ไนโตรเจนก็ดีสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลรถมากนัก

 

source: http://www.toyotabuzz.com

kcharoengroup CARS

หลักการสลับยาง

การสลับยางอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยืดอายุการใช้ยางของคุณ และทำให้ดอกยางเสื่อมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ โดยการขับขี่บนถนนของคุณ จะเป็นตัวบอกว่าคุณควรสลับยางบ่อยแค่ไหน โดยทั่วๆไปแล้ว เราแนะนำให้คุณสลับยางทุกๆ 6 เดือนหรือทุก 9700 กม. แล้วแต่ว่าอะไรมาถึงก่อน ซึ่งการสลับยาง จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการขับรถของคุณ คุณสามารถเลือกวิธีการสลับยางตามรูปข้างล่างที่เหมาะกับรถของคุณ

 

article_rotate_tyres_v2_06

สำหรับรถขับหน้า

ยางหน้า เปลี่ยนมาข้างหลัง ฝั่งเดียวกัน

ยางหลัง เปลี่ยนไปข้างหน้า สลับฝั่ง

article_rotate_tyres_v2_08

สำหรับรถขับหลัง

ยางหน้า เปลี่ยนมาข้างหลัง สลับฝั่ง

ยางหลัง เปลี่ยนไปข้างหน้า ฝั่งเดียวกัน

source: goodyear.co.th

kcharoengroup CARS 0 Comments