เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องที่ เปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะทาง (หรือเวลา) ที่กำหนดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งก็เปรียบเสมือนการคืนความสดชื่นให้กับเครื่องยนต์ยังไงยังงั้น
เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อน ที่น้ำมันเครื่องจะหมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพ ซึ่งอาจดูที่ไฟเตือนให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องออยล์เซอร์วิส (oil service) ที่หน้าปัดบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องได้ แล้ว เพราะรถวิ่งใช้งานมาเกือบจะถึง 10,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องมันเก่า คุณสมบัติในการหล่อลื่นลดลง อันจะทำให้เครื่องสึกหรอหรือเครื่องหลวมเร็วขึ้น หรือบางทีมีสิ่งสกปรกมากอาจทำให้ไส้กรองตันการไหลของน้ำมันหล่อลื่นจะไม่ สะดวก แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับรถที่ใช้งานหนักก็ควรที่จะเปลี่ยนน้ำมัน เครื่องให้เร็วกว่าปกติ สภาพการทำงานของเครื่องยนต์ที่เข้าข่ายใช้งานหนักและควรเปลี่ยนน้ำมัน เครื่องบ่อยกว่าปกติมีดังนี้
- ใช้งานในที่ๆมีฝุ่นหรือทรายมากเช่นรถที่ใช้งานในไร่หรือรถประเภท OFF ROAD
- ใช้ ในที่ที่มีการจราจรติดขัดเครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลานานๆ เพราะการที่เครื่องยนต์เดินเบาอยู่นั้นการเผาไหม้จะไม่สมบูรณ์ จะเกิดเขม่าขึ้นในเครื่องยนต์
- ใช้ลากจูง หรือขับขึ้งทางชันบ่อยๆ ใครมีบ้านอยู่บนภูเขาก็เปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยๆหน่อยนะครับ
- บรรทุกน้ำหนักมากตลอดเวลา
- เครื่องยนต์ทำงานที่อุณภูมิสูงๆบ่อยๆ
- ใช้ความเร็วสูงเป็นเวลานานๆอันนี้คงเข้าข่ายพวกเราที่ชอบความเร็วและการแข่งขันรถยนต์ที่ใช้รอบเครื่องยนต์สูง
- ใช้ในที่อากาศเย็นจัด ( อันนี้คงไม่เกิดขึ้นในบ้านเรา )
นอกจากนี้การเดินทางในเมืองที่ใช้ระยะทางแต่ละวันค่อนข้างสั้นและใช้แต่ความ เร็วต่ำ ก็จะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วกว่าการขับรถบนถนนโล่งๆ เพราะเครื่อง ยนต์ทำงานตลอดถึงแม้รถไม่เคลื่อนที่ เพราะฉะนั้นถ้าต้องประสบกับการจราจรที่แสนสาหัสล่ะก็ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้เร็วขึ้นอีกนิดก็จะเป็นการดีกว่า หรือในทางกลับกัน ในกรณีที่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องก็ทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็วกว่าด้วยเช่นกัน
ถ้าเป็นรถยนต์นั่งที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ส่วนใหญ่ผู้ผลิตน้ำมันเครื่องจะระบุให้เปลี่ยนถ่ายตามเกรดและประสิทธิภาพของ น้ำมันเครื่อง หรือถ้าเป็นรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ ปี แต่ถ้าเป็นผู้ผลิตรถ จะระบุให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 8,000-10,000 กม. หรือทุกๆ 6 เดือน (สำหรับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์) แล้วแต่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าถ้าต้องการการปกป้องสูงสุด ก็ต้องเปลี่ยนกันทุกๆ 5,000 กม. หรือ 3 เดือนนั่นแหละค่ะ พูดง่ายๆ ว่าเปลี่ยนยิ่งบ่อยก็ยิ่งยืดอายุของเครื่องนั่นเอง
ในกรณีที่เป็นรถจอดมากกว่าวิ่ง อย่างน้อยๆ ก็ควรที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 6 เดือน เพราะทุกครั้งที่เครื่องยนต์ทำงาน ภายในเครื่องยนต์จะมีคราบเขม่าและความชื้นจากการเผาไหม้ตกค้างอยู่นั่นเอง และความชื้นกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นโลหะนั้นก็ไม่ค่อยจะถูกกันซะด้วยซิครับ ถึงจะจอดนิ่งๆ ก็เลี่ยงเรื่องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันไม่ได้เหมือนกัน
การเปลี่ยนถ่านน้ำมันเครื่องบ่อยๆจะทำให้เครื่องยนต์ได้น้ำมันที่ใหม่อยู่เสมอ แต่ถ้าไม่มีเวลามากนักที่ต้องคอยเข้าศูนย์บริการเพียงเพื่อเปลี่ยนน้ำมัน เครื่องเท่านั้น ก็ให้เลือกใช้น้ำมันเครื่องประเภทสังเคราะห์ ( Synthetic Oil ) ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวกว่าน้ำมันเครื่องที่ได้จากปิโตรเลียม Mineral Oil แต่ก็ราคาที่สูงกว่ามาก ก็ลองเลือกกันดูคะว่าจะใช้แบบไหน แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง
การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง ถ้าเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องใหม่แล้วเติมน้ำมันเครื่องให้พอดีกับระดับ ที่กำหนดไว้บนก้านวัดน้ำมันเครื่อง ( ส่วนใหญ่จะมีตัวอักษร H กำกับอยู่ ) เมื่อติดเครื่องแล้ววัดน้ำมันเครื่องจะต่ำกว่าขีด H เล็กน้อย เพราะน้ำมันเครื่องถูกปั้มเข้าไปอยู่ในกรองน้ำมันเครื่อง ก็ต้อง เติมเข้าไปใหม่จนพอดีขีด H และไม่ควรวัดระดับน้ำมันเครื่องหลังจากดับเครื่องยนต์ทันทีเพราะต้องรอให้ น้ำมันเครื่องไหลลงมารวมกันที่อ่างน้ำมันเครื่องให้หมดเสียก่อนแล้วจึงวัด จะได้ระดับน้ำมันเครื่องที่แน่นอน น้ำมันเครื่องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเครื่องยนต์มันทั้งช่วยหล่อลื่น ระบายความร้อน และทำความสะอาดชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้นหมั่นดูแลให้ความสำคัญกับมันบ้าง เพราะมันช่วยยืดอายุของเครื่องยนต์เครื่องยนต์และยังช่วยประหยัดค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงได้อีกด้วย
เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ คำนึงถึงรายละเอียดดังกล่าว เพื่อนำไปพิจารณาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และอีกอย่างให้สอบถามจากเจ้าหน้าที่บริการก็จะดีมาก เครื่องยนต์ปัจจุบัน นั้นน้ำมันเครื่องที่ควรเลือกใช้จะต้องใช้ให้ถูกชนิดและประเภท จึงส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
source: http://รู้เรื่องรถ.blogspot.com